เราคือใคร?

ยินดีต้อนรับสู่ esoteric and metaphysical  เพื่อนที่คุณไว้วางใจบนเส้นทางสู่การค้นพบตนเอง, การเติบโตทางจิตวิญญาณ และการเปลี่ยนแปลงส่วนบุคคล    เราเป็นบุคคลที่มีความกระตือรือร้นซึ่งได้เริ่มต้นภารกิจอันลึกซึ้งเพื่อสำรวจอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ, ขบวนการ New Age, Esoteric Wisdom และการพัฒนาตนเอง    ภารกิจของเราคือการเสริมพลังและสร้างแรงบันดาลใจให้คุณเริ่มต้นการเดินทางสู่ Enlightenment   ช่วยให้คุณค้นพบศักยภาพอันไม่มีที่สิ้นสุดภายในตัวคุณ

อ่านเพิ่มเติม

สิ่งที่เรารวบรวมไว้

THEOSOPHY

ANCIENT ORIGIN

ASCENDED MASTERS

CHANNELING

ENERGY & CONSCIOUSNESS

EXTRATERRESTRIAL LIFE

MYSTICISM

THE UNEXPLAINED & MYSTERIES

 

ESOTERIC ASTROLOGY

ESOTERIC HEALING

ESOTERIC PSYCHOLOGY

ONENESS

SOUND, FREQUENCY & VIBRATION

SPIRITUAL GROWTH

UNIVERSAL LAW

MEDITATION

YOGA

Energies & Conciousness

จากการค้นพบทางฟิสิกส์ยุคใหม่ เช่น ทฤษฎีสัมพัทธภาพและกลศาสตร์ควอนตัมตอนนี้  เราเข้าใจความเป็นคู่ของสสาร-พลังงาน, เวลา-อวกาศ และคลื่น-อนุภาค    สสารและพลังงานนั้นสามารถเปลี่ยนไปมาระหว่างกันได้ เวลาและสถานที่นั้นสัมพันธ์กันและเชื่อมโยงกัน และเหตุการณ์ควอนตัมนั้นมีคุณลักษณะของทั้งอนุภาคและคลื่น

ความสัมพันธ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้รับความกระจ่างจากวิทยาศาสตร์คือ ระหว่างพลังงานกับ consciousness. เรารู้ว่า consciousness ซึ่งเคยถือเป็นทรัพย์สินหรือผลผลิตของสมองของสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกนั้น เกี่ยวข้องกับ the manifestation ของความเป็นจริงทางกายภาพในจักรวาล แม้ว่าเราจะไม่รู้ว่า
consciousness ดำรงอยู่ได้อย่างไร หรือมันถูกถักทอเป็นโครงสร้างแห่งจักรวาลอย่างไร แต่ดูเหมือนว่า เราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยง consciousness ได้ หากเราจะอธิบายความเป็นจริงทางกายภาพในลักษณะเชิงบูรณาการ

 

  • พลังปราณ (Chi / Prana / Qi) และระบบจักระ

  • พลังงานชีวภาพและสนามพลังงานรอบตัว (Aura)

  • การทำงานกับร่างกายพลังงาน เช่น การบำบัดพลังงาน การล้างพลังงาน

  • ระดับของคลื่นสมอง: Alpha, Theta, Delta, Gamma

  • การเข้าสู่ภาวะ Flow, สมาธิลึก, ภาวะตื่นรู้

  • การสำรวจจิตใต้สำนึก ผ่านสมาธิ, ฮิปโนซิส, หรืองานเงา (Shadow Work)

  • ทุกสรรพสิ่งคือการสั่นสะเทือน (Everything is frequency)

  • การปรับคลื่นพลังงานของตัวเองให้สูงขึ้น (Raising your vibration)

  • การใช้เสียงบำบัด, คลื่นสมอง, ดนตรีบำบัด, พลังหินคริสตัล

  • การเชื่อมต่อกับจิตรวมหมู่ (Collective Consciousness)

  • ความคิดสร้างโลก และพลังของการตั้งเจตจำนง

  • จิตหนึ่งเดียว (Unity Consciousness) และการเข้าใจตนเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล

อ่านเพิ่มเติม

Esoteric & Mysteries

นับตั้งแต่ที่มนุษย์พัฒนาความสามารถในการสงสัยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ภายนอก พวกเขาได้แสวงหาความรู้ที่ซ่อนอยู่และเชื่อมโยงกับพลังที่สูงกว่า เมื่อเวลาผ่านไป เราได้พัฒนา
วิธีการนับไม่ถ้วนเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ Esotericism อธิบายถึงเส้นทางลึกลับ (มักเป็นความลับและริเริ่ม) เหล่านี้

  • ความหมายของสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ดวงตาที่สาม, เมตาตรอน, ฟลาวเวอร์ออฟไลฟ์

  • ความรู้โบราณจากอารยธรรมอียิปต์, กรีก, แอตแลนติส, เลมูเรีย

  • คำสอนจาก Hermeticism, คัมภีร์ Emerald Tablet, และความลับของจักรวาล

  • กฎจักรวาล เช่น กฎแห่งแรงดึงดูด, กฎแห่งกรรม, กฎแห่งการสั่นสะเทือน

  • การเชื่อมต่อกับพลังงานของจักรวาล

  • ปรัชญาเรื่อง “As Above, So Below” และการสะท้อนจากโลกภายในสู่ภายนอก

  • การฝึกสมาธิแบบลึกลับ, โยคะ, Kundalini Awakening

  • พิธีกรรมแปรธาตุภายใน (Spiritual Alchemy) เพื่อปลุกพลังชีวิต

  • การทำงานกับพลังงาน (Energy Work), เรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์, และพลังหินคริสตัล

  • มิติที่สูงขึ้น (Higher Dimensions), Akashic Records, และโลกแห่งวิญญาณ

  • ปรากฏการณ์ลี้ลับ เช่น เดจาวู, Astral Projection, และประสบการณ์เฉียดตาย

  • วิญญาณนำทาง (Spirit Guides), เทวทูต, และจักรวาลคู่ขนาน

Spirituality & Ascension

ยินดีต้อนรับสู่การเดินทางแห่งการค้นพบตนเองและการเติบโตทางจิตวิญญาณ   Spiritual ascension หมายถึงกระบวนการยกระดับ consciousness ของคุณ และเชื่อมต่อกับพลังที่สูงกว่า ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับตัวคุณเองและโลกรอบตัวคุณ
มันเกี่ยวข้องกับการกำจัดแบบแผน, ความเชื่อ และพฤติกรรมเก่าๆ ที่ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป  และเปิดรับมุมมองและประสบการณ์ใหม่ๆ

  • การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณและการเปิดตาที่สาม
  • การระลึกถึงต้นกำเนิดแห่งดวงดาว (Starseed Awakening)
  • วิญญาณที่มาจากกลุ่มดาวต่าง ๆ เช่น Pleiadian, Arcturian, Sirian
  • การรับรู้ว่าตัวตนเรามีมากกว่าชาติภพบนโลก
  • การเปลี่ยนแปลงคลื่นพลังงาน (5D shift)
  • การเปิดใช้งานร่างแสง (Light Body Activation) และ DNA ขั้นสูง
  • การใช้ชีวิตแบบ Multidimensional (เข้าใจตัวตนในหลายมิติพร้อมกัน)
  • การรักษาและปล่อยของเก่าในระดับ Soul & Ancestral Lineage
  • การติดต่อกับพลังงาน/สิ่งมีชีวิตจากต่างมิติ (ETs, Interdimensionals)
  • การสื่อสารทางโทรจิต (Telepathy), Dream Contact, Light Codes
  • การทำภารกิจร่วมกับ Galactic Federation / Spiritual Star Family
  • จิตสำนึกแห่งจักรวาล (Cosmic Mind / Christ Consciousness)
  • การกลับคืนสู่ภาวะหนึ่งเดียว (Unity Consciousness)
  • การตั้งเจตจำนงเพื่อช่วยยกระดับโลก (Service to Others)
  • การใช้ชีวิตในโลกใหม่ด้วยพลังแห่งรัก ความตื่นรู้ และความจริง
  • การรวมพลัง Starseeds, Lightworkers, และ Healers เพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับโลก

Articles

July 26, 2025

ไขความลับ BioGeometry อียิปต์ – ศาสตร์โบราณปรับพลังงานโลกใหม่

รูปทรงเรขาคณิตบางชนิดสามารถส่งผลต่อสุขภาพมนุษย์และเปลี่ยนแปลงระบบชีวภาพได้

BioGeometry :  ภายในศาสตร์นี้มีหลายระบบย่อย (subsystems)  และหนึ่งในระบบย่อยเหล่านั้นเรียกว่า Biosignatures  ซึ่ง Biosignatures ก็คือรูปแบบการเคลื่อนไหวของพลังงานภายในอวัยวะ, ต่อม และทุกส่วนของร่างกายกายภาพของมนุษย์ รวมถึงมิติของกายพลังงานละเอียดด้วย และการเคลื่อนไหวของพลังงาน 3 มิติภายในร่างกายนั้น ถูกทำให้เรียบง่ายลงเป็นลวดลายพลังงานแบบเส้น 2 มิติ ซึ่งเรียกว่า Biosignatures

ดร. อิบราฮิม คารีม (Ibrahim Karim)  เป็นบุคคลสำคัญในแวดวงไบโอจีโอเมทรีและศาสตร์องค์รวม   จากการศึกษาค้นคว้าและวิจัยอย่างกว้างขวางของเขา ได้นำไปสู่การพัฒนาศาสตร์ไบโอจีโอเมทรี (BioGeometry) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ศึกษาผลของรูปทรงเรขาคณิตที่มีต่อการทำงานของชีวิต   ดร. คารีม ได้เข้าร่วมในโครงการวิจัยโรคตับอักเสบซีระดับชาติของอียิปต์  ไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับอักเสบซี แต่เพราะในโครงการนั้น พวกเขากำลังทดสอบทุกวิธีที่เป็นไปได้ซึ่งอาจช่วยรักษาโรคนี้ได้ เนื่องจากในขณะนั้น โรคตับอักเสบซีแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในอียิปต์และแอฟริกาเหนือ

เขาได้นำเอาลวดลาย Biosignature ที่เขาค้นพบนี้มาใช้   เขาใช้เวลาหลายปีทำการวิเคราะห์พลังงานของการเคลื่อนไหวภายในอวัยวะ, ระบบพลังงานของมนุษย์ และค้นหารูปแบบพลังงานเหล่านี้   จากนั้นเขาก็นำลวดลายเหล่านี้ใส่ลงไปในเหรียญหรือจี้พิเศษ ที่สามารถสวมใส่ได้   กลุ่มตัวอย่างที่เป็นกลุ่มควบคุม (control group) ของเขาในโครงการวิจัยนี้  มาจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ (Al-Azhar University) กรุงไคโร   สิ่งเดียวที่พวกเขาทำ คือสวมใส่เหรียญจี้เหล่านี้เท่านั้น   พวกเขาไม่ได้รับการรักษาใด ๆ อื่นเลยสำหรับโรคตับอักเสบซี

ผลสุดท้าย เขากลับชนะการวิจัยครั้งนี้   ผลการรักษาของเขาประสบความสำเร็จมากกว่าการใช้ยาฉีดอินเตอร์เฟอรอน (interferon) หรือยาทางการแพทย์ตะวันตกใด ๆ  รวมไปถึงสมุนไพรจีนหรือวิธีการอื่น ๆ ทั้งหมด และไม่มีใครเข้าใจได้เลยว่าทำไมรูปแบบเรขาคณิตเหล่านี้ถึงสามารถส่งผลต่อระบบชีวภาพของมนุษย์ได้อย่างมหาศาล

ดร. คารีม ยังอธิบายเพิ่มเติมกับผู้คนว่า “ถ้าจะเข้าใจสิ่งนี้ คุณต้องไม่มองมันเป็นเพียงลวดลายพลังงานที่หยุดนิ่ง (static pattern)”  คุณไม่สามารถมองสิ่งนี้เป็นเพียงรูปร่างคงที่ได้  คุณต้องมองมันเป็น รูปแบบพลังงานที่มีการเคลื่อนไหว (dynamic pattern)  พลังงานนั้นเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา เหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่วิ่งไปตามสายไฟ   และเมื่อคุณเข้าใจว่ารูปทรงเรขาคณิตเหล่านี้คือแบบแผนของการเคลื่อนที่ของพลังงาน  คุณก็จะเริ่มเข้าใจได้ว่า ทำไมรูปแบบเรขาคณิตเหล่านี้ถึงสามารถส่งผลต่อชีวิตทางชีวภาพและสุขภาพของสิ่งมีชีวิตได้จริง

ดร. คารีม มีทีมวิจัยของตัวเองอยู่ที่ Egyptian National Research Center เพื่อทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้โดยเฉพาะ  และเขาก็ได้แสดงให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่น่าทึ่งมากมาย ซึ่งตามทฤษฎีแล้วถือว่าเป็นไปไม่ได้เลย แต่สามารถอธิบายได้จากพลังงานของรูปทรงเรขาคณิต   ร่างกายของเราก็คือพลังงานทั้งหมด   และเมื่อคุณนำลายพลังงานเหล่านี้ไปวางในตำแหน่งที่มีการอุดตัน  มันสามารถปรับเปลี่ยนและเคลื่อนย้ายสิ่งที่ติดขัดนั้นได้

แนวคิดสำคัญประการหนึ่งของศาสตร์การแพทย์พลังงานทุกแขนง รวมถึงไบโอจีโอเมทรีก็คือแนวคิดโบราณที่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายกายภาพ ล้วนเป็นผลมาจากโครงสร้าง, แบบแผน และการไหลเวียนของพลังงานในร่างกายพลังงาน   เช่นเดียวกับในศาสตร์แพทย์จีน ที่เส้นลมปราณ (meridians) เป็นสิ่งที่ส่งพลังงานเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ  แต่สิ่งที่ ดร.คารีมค้นพบจาก Biosignatures คือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน   นี่คือผลลัพธ์จากการใช้เวลาหลายสิบปีในการติดตามการเคลื่อนไหวของพลังงานในร่างกายและในสนามพลังงาน เพื่อสร้างผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียง แขนงหนึ่ง (subfield) ของไบโอจีโอเมทรีเท่านั้น   เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไบโอจีโอเมทรีมีแขนงย่อยอีกมากมาย   พวกเราเรียกมันว่าภาษาการออกแบบของธรรมชาติ (Nature’s Design Language)  ซึ่งเป็นภาษาที่ธรรมชาติใช้ โดยผ่านรูปทรง, รูปแบบ, เรขาคณิต, เสียง, สี, มุม, สัดส่วน และตัวเลข   ทั้งหมดนี้คือรหัสการออกแบบ (design code) ที่อยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่สร้างโลกกายภาพ รวมถึงร่างกายกายภาพและสุขภาพทางกายด้วย

ในวิชาไบโอจีโอเมทรี พวกเขาพูดถึง Netters และเหล่าทวยเทพ (Gods)  แล้วสรุปแล้วเทพเจ้าสมัยอียิปต์โบราณมีอยู่จริงหรือเปล่า?

สิ่งแรกที่คุณต้องเข้าใจก็คือ   เมื่อคุณอ่านตำราอียิปต์โบราณที่ถูกแปลเป็นภาษาสมัยใหม่ เช่น ภาษาอังกฤษ  ผู้แปลมักจะหยิบคำโบราณบางคำมาแปลเป็นคำสมัยใหม่  โดยเฉพาะคำว่า “Netter” ที่พวกเขาแปลว่า “God” หรือ “Goddess”  แต่ความหมายของคำว่า “เทพเจ้า” หรือ “เทพธิดา” ในแบบที่คนปัจจุบันเข้าใจ (ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์)  ไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับสิ่งที่ชาวอียิปต์โบราณเข้าใจในสมัยนั้นเลย

พวกเขาใช้คำว่า “Netter” และในภาษาอียิปต์โบราณแบบอักษรไฮเออโรกลิฟิก   ดังนั้น คำว่า Netter ในอียิปต์โบราณ จึงกลายมาเป็นคำว่า Nature (ธรรมชาติ) ในภาษายุโรปสมัยใหม่ในภายหลัง

ดังนั้น เมื่อคุณเห็นภาพของ ไอซิส (Isis), พธตะห์ (Ptah) หรือ โอไซริส (Osiris)  สิ่งแรกที่ต้องรู้ก็คือ ชื่อนี้ไม่ใช่ชื่อดั้งเดิมของพวกเขาในสมัยอียิปต์โบราณเลย   

ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อภาษากรีก เช่น Osiris ก็เป็นชื่อแบบกรีก แต่ในงานอียิปต์ดั้งเดิม เขาถูกเรียกว่า Ra  และเขาถูกเข้าใจว่าเป็น Netter ซึ่งไม่ใช่เทพเจ้าในความหมายแบบพระเจ้าหรือเทพธิดา  แต่คือพลังแห่งสติรู้ของธรรมชาติ (a conscious force of nature)  เขาคือ the conscious force ที่เกี่ยวข้องกับ ความตายและการเกิดใหม่

ดังนั้น ชาวอียิปต์โบราณเข้าใจว่าทุกหน้าที่ (function) ในจักรวาล เกี่ยวพันกับ a conscious being or a conscious force ที่ดูแลหน้าที่นั้น ๆ โดยเฉพาะ   แต่เราในยุคปัจจุบันถูกสอนโดยวิทยาศาสตร์ว่าทุกอย่างทำงานเหมือนเครื่องจักรที่ตายแล้ว (dead clockwork) ที่วิวัฒนาการขึ้นมาโดยบังเอิญล้วน ๆ ไม่มีจุดหมายหรือความตั้งใจใด ๆ อยู่เบื้องหลัง  เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแบบสุ่มเท่านั้น   แต่ในทุก ๆ ภูมิปัญญาคลาสสิก รวมถึงอียิปต์โบราณ  พวกเขาเข้าใจว่ามี a consciousness อยู่เบื้องหลังทุกองค์ประกอบ  อยู่เบื้องหลังทุกหน้าที่ของธรรมชาติ   Consciousness นั้นเป็นรากฐานของทุกสิ่ง  และ consciousness นั้นแผ่จาก consciousness รวมอันยิ่งใหญ่ ที่ครอบคลุมทั้งหมด  ลงมาสู่สภาวะ consciousness เฉพาะตัว ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกว่ามนุษย์ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลและควบคุมพลังงานธรรมชาติเหล่านี้   ดังนั้น สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจก็คือ Netters คือ the conscious forces of nature  และสิ่งสำคัญคือพวกเขา ไม่ได้พูดภาษาโลก  พวกเขาไม่ได้พูดหรือเข้าใจภาษาอังกฤษ, รัสเซีย หรือเยอรมันเลย

พวกเขา (Netters) เข้าใจภาษาการออกแบบของธรรมชาติ (Nature’s Design Language)  ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้พูดไปแล้วว่า BioGeometry คือภาษาการออกแบบของธรรมชาติ   และในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น มันคือภาษาการออกแบบของ Netters เอง   ภาษาที่พวกเขาเข้าใจ ก็คือภาษาที่พวกเขาใช้สร้างโลก ซึ่งประกอบไปด้วยรูปทรง (Shape), เสียง (Sound), สี (Color), การเคลื่อนไหว (Motion), มุม (Angle), และสัดส่วน (Proportion)

สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือน พาเลตต์สีของศิลปิน ที่ใช้สร้างงานศิลป์ของจักรวาล   และในวิชา BioGeometry เราเรียนรู้ที่จะใช้คุณสมบัติเหล่านี้เพื่อสร้างผลกระทบทางพลังงานต่าง ๆ  เพราะในจักรวาลมีสเปกตรัมพลังงานสากล (Universal Spectrum of Energy) ที่ครอบคลุมทุกผลลัพธ์ทางพลังงานที่เป็นไปได้  เช่นเดียวกับการแพทย์แผนจีน ที่มีทั้งสิ่งที่เป็นหยิน สิ่งที่เป็นหยาง   สิ่งที่กระตุ้น สิ่งที่ทำให้สงบ สิ่งที่ให้ความร้อน หรือสิ่งที่ให้ความเย็น   กิจกรรมพลังงานเหล่านี้ทั้งหมด ล้วนเชื่อมโยงกับสภาวะของ consciousness   Consciousness ระดับสูง ที่คอยทำหน้าที่ดูแลและจัดการพลังงานเหล่านี้ สามารถสื่อสารได้ แต่สามารถสื่อสารได้ผ่านภาษาการออกแบบนี้เท่านั้น   นี่คือวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่กายภาพ (non-physical beings)  เพราะการพยายามสื่อสารกับโลกทางกายภาพผ่านภาษามนุษย์นั้น ถือว่าเป็นช่องทางที่ยากมากสำหรับพวกเขา   แต่พวกเขารู้และใช้ภาษาการสร้างสรรค์ ซึ่งได้แก่รูปทรง, เสียง, สี, การเคลื่อนไหว, มุม และสัดส่วน   สิ่งเหล่านี้เองคือ องค์ประกอบพื้นฐาน (Building Blocks) ที่เราใช้ใน BioGeometry.  และด้วยวิธีนี้เอง เราจึงสามารถสื่อสารกับ Netters ได้   เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ใน BioGeometry เรามุ่งเน้นไปที่ภาษาของรูปทรงเป็นหลัก   แต่ความรู้นี้สามารถประยุกต์ไปยังแขนงอื่น ๆ ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดด้วยเสียง (sound healing), การบำบัดด้วยสี (color healing) เป็นต้น   ทั้งหมดสามารถถูกรวมเข้าเป็นองค์ความรู้หนึ่งเดียวกันได้

ภาษาฮีโรกลิฟิก (Hieroglyphic) แท้จริงแล้วคือ ภาษาแห่งรูปทรง   งานวิจัยเพื่อค้นพบความลับเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นราวต้นศตวรรษที่ 1900 ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งต่อมากลายเป็นรากฐานของสิ่งที่ทุกวันนี้เราเรียกว่า French Radiesthesia หรือ Vibrational Radiesthesia  สิ่งนี้ไม่ใช่การแกว่งลูกดิ่งแบบใช้จิต (Mental Dowsing)  แต่เป็นการใช้เครื่องมือ เช่น Pendulum เพื่อทำการตรวจจับคุณภาพของพลังงานที่เฉพาะเจาะจงมาก ๆ  คุณภาพพลังงานเหล่านี้ส่งผลอย่างแม่นยำต่อชีววิทยาและพลังงานในร่างกาย

หนึ่งในนักวิจัยยุคแรก ๆ คือชายชื่อ Louis Turenne  ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ   และเขานี่เองที่เป็นคนสร้างสิ่งที่เราปัจจุบันเรียกว่า Universal Vibrational Spectrum (สเปกตรัมการสั่นสะเทือนสากล)

ปัจจุบันในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เราวิเคราะห์ 2 สเปกตรัมหลัก ที่เทคโนโลยีทั้งหมดของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานนี้   สเปกตรัมแรกคือ สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Spectrum)  เราสร้างเครื่องมือเชิงกลมากมายขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์สเปกตรัมนี้   แต่จริง ๆ แล้ว พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าคือพลังงานชีวิตที่เสื่อมสลายลงหลังจากผ่านระดับทางกายภาพไปแล้ว

ส่วนที่อยู่เหนือขึ้นไปจากนั้นคือระดับทางกายภาพ (Physical Level)  ซึ่งเราวิเคราะห์ด้วยตารางธาตุ (Periodic Table of Elements)  แต่เหนือขึ้นไปกว่านั้นคือระดับของพลังงานอีเธอร์ (Ether), ชี่ (Qi), กี (Ki), ปราณ (Prana)  ซึ่งเป็นพลังชีวิตที่มีความเคลื่อนไหวแบบไดนามิก ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิต   สิ่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในทุก ๆ ภูมิปัญญาโบราณ และแต่ละวัฒนธรรมก็มีชื่อเรียกต่างกันออกไป   แต่ในยุคสมัยใหม่ เรายังไม่มีสเปกตรัมสำหรับพลังงานชีวิตนี้   เราไม่เข้าใจว่าจะวิเคราะห์พลังงานที่มีชีวิต (Living Energy) โดยตรงได้อย่างไร

พื้นฐานความรู้นี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคลื่นวิทยุจากฝรั่งเศสชื่อ Louis Turenne  เขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่น่าทึ่งมากในปี 1942 ชื่อ “The Scientific Control of All Natural Waves” (การควบคุมทางวิทยาศาสตร์ของคลื่นธรรมชาติทั้งหมด) ซึ่งมีตีพิมพ์เพียงภาษาฝรั่งเศสเท่านั้น   ในหนังสือเล่มนี้ เขาได้แสดงภาพประกอบของอักษรภาพไฮเออโรกลิฟ (Egyptian Hieroglyphs)  และแสดงให้เห็นว่าบนผนังวิหารอียิปต์โบราณหลายแห่ง มีคนภายหลังเอาสกัดมาสกัดทำลายให้รูปทรงของสัญลักษณ์เสียไป   ด้วยเครื่องมือวัดการสั่นสะเทือนของเขา  เขาสามารถตรวจวัดได้ว่ารูปทรงดั้งเดิมของสัญลักษณ์ไฮเออโรกลิฟเหล่านั้น มีพลังงานสั่นสะเทือนที่เฉพาะเจาะจงแผ่ออกมา.

คุณสามารถตรวจวัดพลังงานบางชนิดที่แผ่ออกมาจากรูปทรงเหล่านั้นได้  มันคล้ายกับวงจรไฟฟ้า   ดังนั้น เมื่อมีคนมาภายหลังใช้สิ่วสกัดและทำให้เส้นขอบต่อเนื่องของสัญลักษณ์ไฮเออโรกลิฟขาดออก  มันก็จะทำให้พลังงานนั้นถูก neutralized  และเมื่อใช้เครื่องมือวัดของเขา  ก็จะไม่สามารถตรวจพบพลังงานที่แผ่ออกมาได้เลย เหมือนกับการตัดสายไฟฟ้าขาด — มันไม่สามารถส่งผ่านพลังงานได้อีกต่อไป

ดังนั้น ภาษาฮีโรกลิฟิกจึงมีความสามารถในการส่งคุณภาพพลังงานบางชนิดออกมาได้จริง ๆ  เป็นการแผ่พลังงานออกมาจาก “ข้อมูลของรูปทรง”  ต่อมานักวิจัยชาวฝรั่งเศสได้สานต่อและพัฒนาความคิดนี้ขึ้นมา และเรียกมันว่า “คลื่นที่เกิดจากรูปทรง” (Shape-caused wave)  ตัวอย่างเช่น สำหรับคนที่ศึกษาอียิปต์วิทยาในยุคปัจจุบันซึ่งมักจะมองสิ่งเหล่านี้แบบนามธรรม   พวกเขาเห็นรูปทรง Ankh ของอียิปต์โบราณแล้วก็พูดว่า “อ๋อ นี่เป็นสัญลักษณ์ที่แทนความหมายของชีวิต”  ซึ่งก็เป็นความจริงในเชิงสัญลักษณ์   แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันลึก

ซึ้งกว่านั้นมาก เพราะถ้าคุณสร้าง Ankh ในลักษณะ 3 มิติจริง ๆ  คุณจะพบว่ามีพลังงานคุณภาพเฉพาะตัวแผ่ออกมาจากด้านบนของมัน

พลังงานนั้นส่งผลต่อการช่วยให้สิ่งมีชีวิตเติบโต  ซึ่งจะปล่อยออกมาจากส่วนโค้งด้านบนของสัญลักษณ์ Ankh  ถ้าคุณเปรียบเทียบกับการบำบัดด้วยสี (Color Therapy)  พลังงานนี้ก็สอดคล้องกับคุณสมบัติของพลังงานสีเขียวในธรรมชาติ   พลังงานที่แผ่ออกมาจากสัญ

ลักษณ์ Ankh จะช่วย กระตุ้นการเจริญเติบโตและการฟื้นฟู  ในขณะเดียวกัน ส่วนปลายด้านล่างของ Ankh จะปล่อยพลังงานอีกชนิดหนึ่งที่ตรงกันข้ามออกมา

พลังงานนี้ นักวิจัยฝรั่งเศสเรียกว่า “Negative Green” ซึ่งไม่ได้เป็นสีเขียวจริง ๆ แต่เป็นพลังงานที่มองไม่เห็น   ถ้ามนุษย์สามารถมองเห็นเป็นสีได้ เราจะเห็นมันเป็นสีเทา  เพราะเรายังไม่มีอวัยวะรับสัมผัสที่สามารถตรวจจับสีของพลังงานชนิดนี้ได้

จากส่วนปลายของ Ankh จะมีลำแสงพลังงาน Negative Green ที่มีความทะลุทะลวงสูงมาก นักวิจัยฝรั่งเศสพบว่ามันสามารถทะลุผ่านวัสดุตะกั่วหนาได้ ซึ่งแม้แต่รังสีเอกซ์ (X-ray) ก็ไม่สามารถทะลุผ่านได้   ดังนั้น เมื่อคุณเห็นสัญลักษณ์โบราณจากอียิปต์  ไม่ว่าจะเป็นอักษรภาพไฮเออโรกลิฟหรือสัญลักษณ์อื่น ๆ  ในศาสตร์ BioGeometry เราจะสอนให้ผู้เรียนสามารถตรวจจับพลังงานที่แผ่ออกมาจากสัญลักษณ์เหล่านี้ได้โดยตรง  ทำให้สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิดเชิงนามธรรมอีกต่อไป   คุณสามารถตรวจจับมันได้ด้วยตัวเอง และเริ่มนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

เมื่อทำเช่นนั้น คุณจะเริ่มเห็นว่าสัญลักษณ์เหล่านี้แผ่พลังงานและมีหน้าที่ทางพลังงานจริง ๆ  ซึ่งนี่แหละคือต้นทางที่ทำให้เราเข้าไปศึกษาอย่างเจาะลึกว่าพลังงานแต่ละชนิดมีคุณสมบัติอย่างไร และทำหน้าที่อะไรได้บ้าง   และนี่เองเป็นหลักการที่ทำให้ ดร. คารีม สามารถทำงานวิจัยที่ Egyptian National Research Center  เพื่อทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่ในสภาวะหยุดการเติบโต (Suspended Animation) ได้ โดยไม่ได้ฆ่ามัน แต่เพียงแค่ทำให้การเติบโตหยุดชะงัก  และจากนั้นก็สามารถทำให้มันกลับมาเติบโตต่อได้ เพียงแค่เพิ่มหรือลบรูปทรงเรขาคณิตบางชนิดออกไป เท่านั้น

หนึ่งในเรื่องที่โด่งดังที่สุดเกี่ยวกับคำสาปของฟาโรห์ หรือคำสาปมัมมี่ ที่กลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษช่วงปี 1920–1930  เกิดขึ้นเมื่อชาวอังกฤษเข้าไปในสุสานของตุตันคาเมน (Tutankhamun) และสุสานอื่น ๆ ในหุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings)  มีการเล่าลือกันมากว่าหลายคนที่เข้าไปในสุสานนั้น เริ่มมีอาการเจ็บป่วยประหลาดที่แพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยได้  และหลังจากนั้นอาการก็ทรุดลงอย่างรวดเร็วจนเสียชีวิต   แต่มีคนหนึ่งที่ไม่ป่วยเลย เพราะเขาได้รับแหวนชนิดพิเศษจากอียิปต์โบราณ ซึ่งบนแหวนมีรูปทรงเฉพาะตัว   เรื่องนี้ถูกพูดถึงในงานของนักวิจัยชาวฝรั่งเศสอีกคนหนึ่ง  เขาได้อธิบายว่าชายชาวอังกฤษที่สวมแหวนวงนี้ ได้รับการปกป้องจากพลังงาน Negative Green และพลังงานลึกลับอื่น ๆ ที่ถูกฝังเอาไว้ภายในสุสานอียิปต์

อีกส่วนหนึ่งของเรื่องนี้นำไปสู่ความเข้าใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของวิหารอียิปต์ (Egyptian Temple Science) ซึ่งในโลกตะวันตกปัจจุบัน ความรู้นี้เหลืออยู่น้อยมาก  แนวคิดพื้นฐานหลายอย่างเราแทบไม่มีอยู่แล้ว   หนึ่งในแนวคิดของพวกเขาคือมุมมองต่อร่างกายพลังงานละเอียด (subtle bodies) ของมนุษย์   เมื่อคนเราตาย ร่างกายระดับสูง (higher bodies) จะออกจากร่างกายกายภาพ และ the spirit ก็จะเดินทางไปยังโลกที่สูงกว่า

ร่างพลังงานที่ทำให้ร่างกายกายภาพมีชีวิตอยู่นั้น  ทางตะวันตกเรียกว่าร่างอีเธอริก (Etheric Body)  มาจากคำภาษากรีกว่า Ether  ชาวจีนเรียกว่า ชี่ (Chi)  ชาวอินเดียเรียกว่า ปราณ (Prana)  ซึ่งทุกวัฒนธรรมโบราณต่างก็มีชื่อเรียกของตนเอง   แต่พลังชีวิตสำคัญนี้ ในอียิปต์โบราณเรียกว่า “Ka”

ที่ด้านหลังของสุสานมักจะมีประตูปลอมที่มีรูเล็ก ๆ  และด้านหลังประตูนั้นจะมีรูปสลักไม้ที่ทำเป็นรูปร่างของเจ้าของร่างที่อยู่ในสุสานนั้น   คำถามก็คือทำไมพวกเขาจึงสร้างประตูปลอมที่ด้านหลังสุสาน และวางรูปสลักไม้ที่มีรูปทรงเรขาคณิตเหมือนกับร่างกายของผู้ตายอย่างแม่นยำ?  เหตุผลก็คือ โดยปกติแล้ว Ka (ร่างอีเธอริก) หลังจากที่คนตายไป  ถ้าคนคนนั้นไม่ได้ทำงานทางจิตวิญญาณมากพอเพื่อพัฒนาร่างอีเธอริกให้สูงขึ้น  ร่างพลังงานนี้ก็จะเริ่มแตกสลาย

หลังจากประมาณ 3 วัน ร่างพลังงานนี้จะเริ่มแตกตัวและกลับคืนไปสู่สิ่งที่ชาวจีนเรียกว่าสนามพลังชี่สากล (Universal Chi Field)  แต่วิทยาศาสตร์วิหารอียิปต์โบราณ (Egyptian Temple Science)  รู้วิธีที่จะรักษา Ka ไม่ให้แตกสลาย และสามารถคงสภาพของมันให้มีชีวิตอยู่และถูกเก็บรักษาไว้ในสุสาน   ในฐานะที่มันเป็นร่างพลังงาน  มันสามารถทำอันตรายหรือโจมตีร่างพลังงานของผู้ที่บุกรุกสุสานได้ เพราะในอียิปต์โบราณ การเป็นโจรปล้นสุสาน ถือเป็นอาชญากรรมที่มีโทษทรมานอย่างรุนแรงและถึงขั้นตาย

พลังงานเหล่านี้ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทางร่างกายโดยตรง  แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น (ถ้าเกิดในยุคปัจจุบัน) สามารถถูกตรวจพบได้เพียงโดยหมอผีหรือนักบำบัดพลังงานที่มีความเชี่ยวชาญสูงมาก  หรือผู้ที่มีความรู้ขั้นสูงในศาสตร์การแพทย์แผนจีนเท่านั้น   ผลกระทบของพลังงานนี้อาจมาในรูปแบบของ

  • การโจมตีเชิงพลังงานที่ปิดกั้นการไหลเวียนของเส้นพลังงาน (Meridian)

  • การทำลายลวดลายพลังงานของจักระ

  • การฉีกทำลายโครงข่ายพลังงานละเอียดที่เปราะบางภายในร่างพลังงานของมนุษย์

นี่คือลักษณะของความรู้ที่ถูกซ่อนไว้   พวกเขา (ชาวอียิปต์โบราณ) เข้าใจถึงการทำงานของร่างกายพลังงานละเอียด (subtle bodies)  และเข้าใจระบบรูปแบบพลังงานเหล่านี้เป็นอย่างดี

ดังนั้น สิ่งที่เราเรียกกันว่า “คำสาปฟาโรห์” (Curse of the Pharaohs)  แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ลึกซึ้งกว่ามาก ซึ่งผู้ที่เขียนข่าวในหนังสือพิมพ์ในสมัยนั้น ไม่มีความเข้าใจในระดับนี้เลย   มันช่างน่าหลงใหลมากจริง ๆ และความลึกซึ้งที่พวกเขา (ชาวอียิปต์โบราณ) เข้าใจในเรื่องเหล่านี้มันน่าทึ่งมาก   นักวิชาการที่ศึกษาอียิปต์โบราณในปัจจุบัน ไม่ได้เข้าใจหลักการพลังงานเหล่านี้เลย พวกเขาแค่ตีความสิ่งต่าง ๆ เช่น “เป็นเพียงเครื่องมือโบราณ” แล้วก็อธิบายแบบตื้น ๆ โดยไม่ได้เข้าใจความหมายลึกซึ้งหรือวิธีการทำงานของสิ่งเหล่านี้ในความเป็นจริง

ตัวอย่างที่ดีมากคือ มีปาปิรุสทางการแพทย์จากอียิปต์โบราณฉบับหนึ่ง ซึ่งในตอนแรก นักอียิปต์วิทยาเชื่อว่า เป็นเพียงข้อความเชิงสัญลักษณ์ เพราะเอกสารแสดงภาพการผ่าศีรษะและสมองของคน  พวกเขาจึงคิดว่า นี่เป็นเพียงพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์ ไม่ได้เกิดขึ้นจริง   แต่ต่อมาเมื่อมีการพัฒนา  การผ่าตัดสมองสมัยใหม่ จึงค้นพบว่าเอกสารนั้น เป็นตำราเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองจริง ๆ

ก่อนหน้านั้น พวกเขากลับตีความว่าเป็นเรื่องสัญลักษณ์หรือเปรียบเปรยไปหมด   เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับความรู้จากอียิปต์โบราณ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังศึกษาอยู่ จนกว่ามนุษย์จะพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาจนสามารถทำได้จริง   ถึงตอนนั้นพวกเขาถึงจะย้อนกลับไปเข้าใจว่าสิ่งที่ชาวอียิปต์ทำไว้นั้นคืออะไร

และนี่เองคือเหตุผลที่ถ้าคุณไปดูการจัดแสดงโบราณวัตถุอียิปต์ในพิพิธภัณฑ์  คุณจะพบว่ามีวัตถุที่เป็น Pendulum จากอียิปต์โบราณจำนวนมาก   Pendulum ชนิดนี้จะปล่อยคลื่นพลังงาน Negative Green ที่ทะลุทะลวงออกมาจากปลายของมัน   แต่คุณจะเห็นว่าในพิพิธภัณฑ์ทั่วโลกเกือบทุกแห่ง มีป้ายเล็ก ๆ กำกับไว้ว่า “วัตถุพิธีกรรม (Ritual Object)”  เพราะสิ่งใดที่พวกเขาไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจ  พวกเขาก็มักจะจัดประเภทว่า “เป็นวัตถุพิธีกรรม”  ความจริงแล้ว มันคือเครื่องมือ Pendulum ที่ใช้ตรวจจับหรือส่งพลังงานที่มีคุณภาพเฉพาะเจาะจงต่างหาก

ในสมัยก่อน นักบวชและนักบวชหญิง (Priests and Priestesses) ถือว่าอยู่ในลำดับขั้นสูงสุดของสังคม  กษัตริย์และราชินีเองก็ต้องไปหาพวกเขา   เทคโนโลยีและความรู้นี้จึงถูกใช้เฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้น

แล้วชาวอียิปต์โบราณไปได้เทคโนโลยีเหล่านี้มาจากไหน? ใครเป็นคนนำมาให้พวกเขา?

ถ้ากลับไปที่แหล่งข้อมูลดั้งเดิมของอียิปต์โบราณ  แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดส่วนหนึ่งของเรามาจากบันทึกของชาวกรีก เพราะคำสอนลึกซึ้งจากวิหารอียิปต์นั้น  ส่วนใหญ่ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเลย

วิหารอียิปต์ไม่เหมือนกับโบสถ์, มัสยิด หรือธรรมศาลาในปัจจุบัน ที่คนทั่วไปไปเข้าร่วมพิธีในวันอาทิตย์   แต่วิหารคือสถานที่สำหรับการเข้าพิธีลึกลับ (Initiation)  เฉพาะผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเท่านั้นที่จะได้เข้าไป   คนทั่วไปจะไม่มีโอกาสได้เห็นแม้แต่ภายในวิหารเลย   และภายในระบบวิทยาศาสตร์วิหาร (Temple Science) ที่พวกเขาพัฒนาขึ้น เต็มไปด้วยความรู้ขั้นสูงอย่างยิ่งเกี่ยวกับการทำงานของพลังงานและธรรมชาติ  แต่พวกเขาจะไม่สอนให้กับคนทั่วไป  ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าผู้ที่จะได้รับการสอน ต้องพิสูจน์ตัวเองก่อนว่าจะไม่ใช้ความรู้นี้ไปในทางที่ผิด เพราะความรู้นี้เป็นการเปิดเผยเบื้องหลังพลังงานที่ซ่อนอยู่ในทุกสิ่งที่มีอยู่บนโลกกายภาพ

ถ้ากลับไปดูในต้นฉบับภาษากรีกดั้งเดิม  ตัวอย่างเช่น งานเขียนของเพลโต (Plato)  ในบันทึกของเพลโตนั้น นักบวชชาวอียิปต์พูดว่า

"ชาวกรีกเอ๋ย พวกท่านเหมือนเด็กน้อย พวกท่านไม่มีความรู้โบราณลึกซึ้งเหมือนที่เรามีในอียิปต์ ความรู้ของเรามีสืบทอดมานับพันปี แต่จริง ๆ แล้วความรู้นี้เก่าแก่ยิ่งกว่านั้นอีก"

และนี่เองคือที่มาของคำว่า “แอตแลนติส (Atlantis)  เพราะในบทสนทนานี้ เพลโตได้บันทึกคำพูดของนักบวชว่าความรู้นี้มาจากอารยธรรมก่อนหน้านี้ ซึ่งถูกทำลายและจมอยู่ใต้น้ำ และอารยธรรมนั้นมีชื่อว่าแอตแลนติส     ดังนั้น ความรู้นี้ย้อนกลับไปถึงเทคโนโลยีและวิทยาการที่โบราณมาก ๆ

ทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มักจะมองว่าแอตแลนติสเป็นเพียงตำนาน   แม้ว่าจะมีหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมากเกี่ยวกับน้ำท่วมใหญ่ระดับโลก (Universal Deluge)  และร่องรอยของสิ่งก่อสร้างที่เคยอยู่ใต้น้ำในยุคสมัยนั้นก็ตาม   แต่ความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้สืบทอดมาจากวัฒนธรรมที่เก่ากว่านั้น

อียิปต์จึงกลายเป็นแหล่งเก็บรักษาความรู้ชั้นสูงของวิหาร (High Temple Knowledge) ที่มาจากวัฒนธรรมที่โบราณจนเราแทบจินตนาการไม่ออกว่าพวกเขามองโลกอย่างไร   และอียิปต์นี่เองที่ทำหน้าที่เป็นสะพาน (Bridge) นำความรู้นี้เข้าสู่โลกยุคหลัง   ดังนั้น จึงเป็นจากอียิปต์นี่เองที่ชาวกรีก ชาวฮีบรู และผู้คนในแถบตะวันตก ได้รับความรู้ทางวิญญาณและวิทยาศาสตร์จิตวิญญาณ  จนเป็นรากฐานของสิ่งที่เรามีอยู่ในระบบตะวันตกทุกวันนี้   และแน่นอนว่า ยังมีการแลกเปลี่ยนกับทางตะวันออกด้วย

ดร.อับราฮัม (Ibrahim Karim) ได้ไปค้นพบข้อมูลเหล่านี้ที่ฝรั่งเศสได้อย่างไร   และทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการยกระดับจิตวิญญาณ (Ascension) ของพวกเราอย่างไรบ้าง?

คำตอบ:  ความรู้นี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะมาก่อน  BioGeometry กำลังนำเอาความรู้ที่เคยถูกซ่อนไว้ และเป็นส่วนหนึ่งของระบบการสอนลับเฉพาะ (closed initiation systems) กลับมาเปิดเผยให้คนทั่วไปได้เข้าถึง   ดร.อับราฮัม เริ่มทำการค้นคว้าวิจัยด้วยตัวเอง เพื่อตามหาความลับที่สูญหายไปของอียิปต์โบราณ   และจากสถานะทางสังคมในอียิปต์ของเขา  ทำให้เขาสามารถเข้าถึงผู้คนที่น่าทึ่ง และสิ่งของอันล้ำค่ามากมาย จนสามารถต่อยอดเป็นองค์ความรู้ BioGeometry ได้ในที่สุด

แล้วเขาก็ได้รับข้อมูลจากแพทย์ชาวอียิปต์ เกี่ยวกับการค้นพบของนักวิจัยชาวฝรั่งเศสในด้าน Vibrational Radiesthesia ซึ่งเกี่ยวข้องกับการไขกุญแจบางส่วนของวิทยาศาสตร์พลังงานในอียิปต์โบราณ   จากนั้นเขาจึงเดินทางไปฝรั่งเศส เพื่อไปยังสถานที่ที่นักวิจัยเหล่านั้นเคยทำงานกัน ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ซึ่งในตอนนั้นนักวิจัยเกือบทั้งหมดได้เสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงหญิงชราท่านหนึ่งซึ่งเป็นภรรยาหม้ายของผู้ก่อตั้ง

เธอกล่าวกับเขาว่า “ฉันรอคอยให้คุณมาที่นี่มานานแล้ว” ทั้งที่อิบราฮิมไม่ได้บอกใครล่วงหน้าเลยว่าเขาจะมา แต่เธอกลับ “รอเขา” เหมือนรู้ล่วงหน้า และเธอได้มอบให้เขา สมุดบันทึกการวิจัยทั้งหมด อุปกรณ์ต้นฉบับทั้งหมด ฯลฯ จากบรรดานักวิจัยชาวฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น  โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย   อิบราฮิมเรียกสิ่งนี้ว่า “สมบัติที่ไม่มีวันหาซื้อได้”  เขานำทุกอย่างกลับไปอียิปต์เพื่อศึกษาและทำวิจัยต่อ

เมื่อเขาเริ่มทำงานกับองค์ความรู้ของฝรั่งเศส และเพิ่มเติมเข้ากับสิ่งที่เขารู้จากสายวิชาของอียิปต์  รวมถึงผลงานวิจัยดั้งเดิมของเขาเอง   เมื่อ ดร. คาริม ค้นพบสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้และเริ่มพูดถึงพวกมันต่อสาธารณะ ก็มักจะมีคนออกมาเตือนเขาเสมอว่า “คุณไม่สามารถพูดเรื่องนี้ต่อสาธารณะได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน”

แต่ ดร. คาริม มีมุมมองว่าในเมื่อปัจจุบันมนุษย์กำลังเผยแพร่เทคโนโลยีที่ทำลายล้างออกไปมากมาย  หากเราไม่เปิดเผยกุญแจของระบบพลังงานโบราณเหล่านี้ให้กับผู้ที่มีเจตนาดีและกำลังแสวงหา แต่ไม่สามารถเข้าถึงความรู้นั้นได้  มนุษยชาติก็แทบจะไม่มีโอกาสรอดพ้นเลย  เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงสุขภาพของโลกกำลังถดถอยลงอย่างรวดเร็ว  ทั้งการตายของมหาสมุทร การเสื่อมโทรมของระบบธรรมชาติทั้งหมด, การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก, มลพิษทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อร่างกายมนุษย์และชั้นชีวมณฑล   สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดกำลังเร่งตัวอย่างรวดเร็ว เราจึงจำเป็นต้องมีพลังต้านกลับเพื่อแก้สมดุล   และนี่เองเป็นเหตุผลที่สิ่งที่ไม่เคยถูกสอนต่อสาธารณะมาก่อน  อับราฮัมจึงตั้งใจอย่างยิ่งที่จะเปิดเผยให้คนทั่วไปได้เข้าถึง

ในศาสตร์ไบโอจีโอเมทรี (BioGeometry) เราพยายามสอนให้เข้าใจว่า นี่คือศาสตร์พลังงานสากลที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับผืนดิน, สิ่งมีชีวิตทุกชนิด, มนุษย์ รวมถึงการออกแบบสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ทุกสิ่งที่ออกแบบมีคุณสมบัติพลังงานที่เหมาะสมที่สุด   หนึ่งในวิธีการใช้ศาสตร์นี้ร่วมกับธรรมชาติ ก็คือการสร้างความกลมกลืนทางพลังงาน (energetic harmonics) ที่เหมาะสมในสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นภายในบ้านหรือพื้นที่กลางแจ้ง ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่ง

และหนึ่งในแนวคิดสำคัญของไบโอจีโอเมทรี (BioGeometry) คือสิ่งที่ ดร.คารีม เรียกว่า “การทำให้เทคโนโลยีสมัยใหม่มีความเป็นมนุษย์” (humanizing modern technology)  หมายถึง เราจะเปลี่ยนคลื่นพลังงานสั่นสะเทือนที่เป็นโทษ ซึ่งถูกส่งออกมาจากเทคโนโลยีสมัยใหม่รอบตัวเรา ให้กลายเป็นคลื่นพลังงานที่มีคุณลักษณะเกื้อหนุนและเสริมพลังชีวิตได้อย่างไร  นี่เป็นองค์ความรู้ที่จำเป็นและสำคัญมาก

เราจึงสอนศาสตร์นี้ในไบโอจีโอเมทรี เพื่อให้ไม่ว่าคนจะทำงานด้านใดก็ตาม  ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร,   นักออกแบบภูมิทัศน์, สถาปนิก, นักออกแบบตกแต่งภายใน, ผู้ทำงานบำบัดพลังงาน, ผู้ทำงานด้านการแพทย์, นักออกแบบกราฟิก หรือนักออกแบบผลิตภัณฑ์ทางกายภาพ  ก็สามารถนำหลักการนี้ไปประยุกต์ใช้ได้ เพราะนี่คือศาสตร์พลังงานสากลที่สามารถใช้ได้กับแทบทุกสาขา   เป้าหมายของเราคือให้มีผู้คนจำนวนมากพอได้รับการฝึกฝน จนทำให้ทิศทางของโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

และถ้าเราสามารถนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยี เช่น ปรับวิธีการผลิตคอมพิวเตอร์  แทนที่ร่างกายเราจะต้องรับคลื่น EMF ที่เป็นอันตราย   เทคโนโลยีนั้นจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ส่งพลังงานที่ดีเข้าสู่ร่างกาย  ช่วยให้เรามีชีวิตที่กลมกลืนและสมดุลมากขึ้นแทน

นี่เป็นสิ่งที่ ดร.คารีมได้แสดงให้เห็นผ่านโครงการต่าง ๆ    ร่วมกับมหาวิทยาลัย, รัฐบาล และองค์กรต่าง ๆ มานานหลายสิบปีแล้ว   และเป้าหมายในตอนนี้คือทำให้ศาสตร์นี้เผยแพร่สู่ผู้คนมากพอที่จะเกิด “แรงสั่นสะเทือนเชิงวิกฤติ” (critical mass)  แต่ก็ต้องเข้าใจก่อนว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ ต้องใช้เวลาศึกษา

ผู้เรียนจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาอย่างน้อยหลายสัปดาห์ เพื่อทำความเข้าใจทุกแง่มุมของหลักสูตรพื้นฐาน และต่อเนื่องอีกหลายสัปดาห์เพื่อเข้าใจรากฐานของหลักสูตรขั้นสูง   และสิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับเราก็คือ หลังจากผ่านการอบรมหลักสูตรพื้นฐานและขั้นสูงแล้ว  จะไม่มีหลักสูตรระดับสูงไปกว่านี้ ยกเว้นหัวข้อพิเศษเฉพาะที่ ดร.คารีม เป็นผู้สอนเท่านั้น

ดร.คารีม ขณะนี้อายุปลาย 70 ปีแล้ว   เขากำลังทำทุกวิถีทางเพื่อนำองค์ความรู้เหล่านี้ถ่ายทอดออกมาให้มากที่สุด

ความเป็นคู่ (dualities) ของแสงสว่างและความมืดนั้น  แท้จริงแล้วคือความเป็นขั้ว (polarity)  แต่สิ่งที่ไบโอจีโอเมทรีทำ คือพากลับเข้าสู่ “ศูนย์กลาง”  และศูนย์กลางนี้เองคือคุณภาพที่เป็นหนึ่งเดียว  คือการสั่นสะเทือนของความเป็นศูนย์กลาง (centering vibration) หรือสิ่งที่อาจมองว่าเป็นการเชื่อมต่อกับพระเจ้า

แม้คำว่า “พระเจ้า” จะเป็นคำที่ยิ่งใหญ่และกว้างมาก   แต่อาจกล่าวได้ว่า พระเจ้าคือคลื่นความถี่ของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข   และการที่เราสามารถเชื่อมต่อกับคลื่นนี้ แล้วนำสิ่งนี้เข้ามาในความถี่ของเราเอง  เป็นสิ่งที่สำคัญมากในตอนนี้   นี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้คนเข้าใจว่าทำไมไบโอจีโอเมทรีจึงแตกต่างจากศาสตร์พลังงานอื่น ๆ  เพราะศาสตร์พลังงานส่วนใหญ่ในปัจจุบัน  รวมถึงแนวคิดของแพทย์แผนจีน จะใช้แนวคิดหยิน–หยาง  คือพยายามสร้างสมดุลด้วยพลังงานที่เป็นขั้วตรงข้าม  ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดด้วยเสียง, การบำบัดด้วยสี, เทคนิคการแพทย์พลังงานต่าง ๆ  แม้แต่ยาแผนปัจจุบันเอง ก็ใช้หลักการปรับสมดุล ด้วยการใช้พลังงานหรือสารที่มีคุณสมบัติในขั้วตรงข้ามเช่นกัน

ถ้าระบบใดระบบหนึ่งทำงานน้อยเกินไป   แนวทางทั่วไปคือการใช้พลังงานที่มีขั้วหยาง (yang) หรือมีพลังผลักดัน เพื่อดันมันกลับไปสู่สมดุล   ในทางกลับกัน ถ้าระบบทำงานมากเกินไป  ก็จะใช้พลังงานที่มีขั้วยิน (yin) เพื่อดึงมันกลับเข้าสู่ศูนย์กลาง   พูดง่าย ๆ คือ ใช้พลังงานในขั้วตรงข้ามเพื่อดึงให้กลับเข้าสมดุล   แต่ไบโอจีโอเมทรีแตกต่างออกไป   เราไม่ได้ใช้พลังงานขั้วตรงข้ามเพื่อสร้างสมดุล   สิ่งที่เราทำคือใช้คุณภาพพลังงานของศูนย์กลาง (energy quality of the center) ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “พลังงานของศูนย์กลาง” มีอยู่จริง

นี่คือหนึ่งในผลงานที่ยิ่งใหญ่ของ ดร.คารีม   เราในไบโอจีโอเมทรีมีเครื่องมือเฉพาะ ที่ใช้ตรวจจับคุณภาพพลังงานของศูนย์กลางนี้โดยตรง ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดความสมดุลด้วยการใช้พลังงานขั้วตรงข้าม  แต่ไปกระตุ้น “ศูนย์กลาง” ของระบบนั้นเอง  ทำให้ระบบสามารถกระตุ้นจุดสมดุลของตัวเองได้

นี่จึงเป็นหนึ่งในสิ่งแรก ๆ ที่เราสอนผู้คนในหลักสูตรพื้นฐานว่าการสั่นสะเทือนของศูนย์กลาง (centering vibration) คืออะไร   เราจะกระตุ้นมันในคน, สถานที่ หรือวัตถุได้อย่างไร   เราจะนำไปใช้ในงานออกแบบได้อย่างไร และจะตรวจจับพลังงานศูนย์กลางนี้ได้โดยตรงอย่างไร   ศูนย์กลางของรูปทรงเรขาคณิตทุกชนิด มีคุณภาพการสั่นสะเทือนของศูนย์กลางนี้อยู่ ซึ่งคุณภาพนี้เองที่ทำให้เกิดความสมดุล และความกลมกลืนในสนามพลังงานของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

ศูนย์กลางของรูปทรงเรขาคณิตนั้นอยู่ในภาวะสั่นพ้อง (resonance) กับระนาบหนึ่งที่ในปัจจุบันโลกตะวันตกเรียกว่า “ระนาบศักดิ์สิทธิ์” (Divine Plane)  แต่ในอียิปต์โบราณมีชื่อเรียกแตกต่างออกไป

เมื่อผู้คนพูดถึง “การก้าวสู่อมตภาพ” (Ascension)  มักจะพูดถึงแบบจำลองหลายมิติ (multidimensional models) ซึ่งในอียิปต์โบราณก็มีแนวคิดคล้ายกัน  คือมี “ระนาบการดำรงอยู่” (planes of existence) หลายระดับ และแต่ละระนาบนั้นซ้อนทับและแทรกซึมเข้ามาในโลกวัตถุ ไม่ได้อยู่ที่ใดที่หนึ่งไกลออกไป ซึ่งมนุษย์สามารถพัฒนาจิตสำนึกให้ตระหนักรู้ถึงระนาบเหล่านี้ได้

ดังนั้น ในงานออกแบบของไบโอจีโอเมทรี   การสั่นสะเทือนของศูนย์กลาง (centering vibration) ที่เราทำงานด้วย  ถือเป็นเหมือน “ลายเซ็น” ที่เชื่อมต่อกับระนาบศักดิ์สิทธิ์ (Divine Plane)

เพื่อให้เข้าใจชัดเจน: เมื่อเราอยู่ในศูนย์กลาง   พลังงานของศูนย์กลางนี้สามารถเยียวยาได้ทุกสิ่ง  ไม่ว่าจะเป็นไวรัส, แบคทีเรีย หรือความเจ็บป่วยใด ๆ  เราสามารถนำสิ่งเหล่านั้นเข้าสู่ความกลมกลืนได้   ดังนั้น เวลาจะอธิบายให้ใครเข้าใจว่าถ้าเขาอยากใช้ศาสตร์นี้เพื่อปกป้องตัวเองและดูแลสุขภาพ  เราก็จะอธิบายว่าหัวใจสำคัญคือการนำทุกอย่างกลับสู่สมดุลของศูนย์กลาง

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า งานนี้ไม่ได้อ้างอิงว่ามีผลทางการแพทย์ใด ๆ  แต่แนวคิดเบื้องหลังคือว่า เมื่อคุณพูดถึงระนาบศักดิ์สิทธิ์ (Divine plane) หรือการสั่นสะเทือนของศูนย์กลาง (Centering vibration)  ทั้ง 2 สิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง เพราะมันคือระดับเอกภาพ (Unity level)

ที่ระดับเอกภาพ ทุกสิ่งหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว   ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีความเป็นคู่   นั่นคือที่ที่มีการสั่นสะเทือนของศูนย์กลาง   เป็นสนามเอกภาพ (Unified field) ซึ่งในทางฟิสิกส์เรียกว่า เอกฐาน (Singularity)  ที่ตรงนั้นคือแหล่งกำเนิดของทุกสิ่ง   ยังไม่มีการสร้างสรรค์ใด ๆ เกิดขึ้น เป็นภาวะเอกฐาน เป็นสนามเอกภาพอย่างแท้จริง

เมื่อมันเริ่มแยกออกเป็นความเป็นคู่ (duality) และความเป็นขั้ว (polarity)  จึงทำให้เกิดศักยภาพของการเคลื่อนไหว   ศักยภาพในการสร้างสรรค์ การดึงดูดและการผลักออก   เมื่อเริ่มมีการเคลื่อนไหว  จึงเกิดความเข้าใจว่า “รูปร่าง” (shape) คืออะไร   รูปร่างก็คือเปลือกที่ตกผลึกของรูปแบบการเคลื่อนไหวของพลังงานเท่านั้นเอง

การเคลื่อนไหวของพลังงานคือพื้นฐานของทุกชีวิต   ในศาสตร์ไบโอจีโอเมทรี เราสอนสิ่งที่ปัจจุบันไม่มีที่ไหนสอน เกี่ยวกับวิธีทำงานกับคุณภาพพลังงานของสนามเอกภาพ (Unified Field)  ภาวะเอกภาพ (Unified State) และการสั่นสะเทือนของศูนย์กลาง (Centering Vibration)  เพื่อนำสิ่งนี้มาใช้กลมกลืนพลังงานอื่น ๆ ที่มีลักษณะเป็นพลังงานแบบมีขั้ว (Polarized energies)

เพราะพลังงานของการสั่นสะเทือนศูนย์กลาง ซึ่งมาจากเอกฐาน (Singularity) ณ จุดศูนย์กลางของทุกสิ่ง เป็นพลังงานที่ไม่มีการแยกแยะ (Non-differentiated)  เป็นพลังงานสากลที่ทำหน้าที่ปรับให้เกิดความกลมกลืน รักษาสมดุล และนำทุกอย่างเข้าสู่ภาวะสมดุล   จากนั้นคุณสามารถนำระบบอื่น ๆ ที่เคยเรียนมา เช่น การบำบัดด้วยสี (Color Healing), การบำบัดด้วยเสียง (Sound Healing), การแพทย์พลังงาน (Energy Medicine) ฯลฯ ซึ่งใช้พลังงานแบบมีขั้ว มาประยุกต์ร่วมกันได้

เมื่อคุณใช้แรงพลังแห่งความกลมกลืนนี้เข้าไป  มันจะช่วยปรับสมดุลได้ดีกว่าการใช้พลังงานขั้วตรงข้ามเพียงอย่างเดียว   วิทยาศาสตร์ของวิหารโบราณ (Ancient Temple Science) จึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเข้าใจภาวะเอกภาพ  แล้วค่อยแยกออกเป็นภาวะขั้วตรงข้าม   และเมื่อคุณใช้พลังงานขั้วใดขั้วหนึ่ง (เช่น เพิ่มหยิน เพิ่มหยาง) เพื่อนำระบบไปในทิศทางหนึ่ง  คุณต้องกระตุ้นศูนย์กลางควบคู่ไปด้วย เพื่อทำให้กระบวนการทั้งหมดนั้นสมบูรณ์แบบและสมดุล   ในไบโอจีโอเมทรี เราไม่ได้แค่ปรับสมดุลพลังงานแล้วจบ  แต่จะทำการตรวจสอบและทำงานกับพลังงานอย่างแม่นยำเสมอ

ในตำราโบราณจำนวนมาก เช่น ลวดลายวงกต (labyrinths) และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ  หากคุณทดสอบ คุณก็สามารถพบการสั่นสะเทือนของศูนย์กลาง (centering vibration) ในสถานที่เหล่านั้นได้เช่นกัน

มันไม่ได้มีแค่ชาวอียิปต์เท่านั้นที่เข้าใจเรื่องนี้   นี่คือสิ่งที่มีอยู่และถ่ายทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย  เป็นองค์ความรู้สากลของศาสตร์วิหารโบราณในยุคโบราณ   ดังนั้น อารยธรรมใดก็ตามที่ยังคงรักษาความรู้ดั้งเดิมจากแก่นโบราณไว้ เช่น วัฒนธรรมชาวอะบอริจินในออสเตรเลีย  ก็จะยังคงมีบางส่วนขององค์ความรู้โบราณนี้อยู่ เพราะเมื่ออยู่ในภาวะ consciousness ที่แตกต่างออกไป  คุณจะสามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ   สิ่งที่โดดเด่นของระบบอียิปต์โบราณคือ พวกเขามีการสะสมองค์ความรู้ทางเทคนิคอย่างครบถ้วน จนกลายเป็นวิทยาศาสตร์จิตวิญญาณที่สมบูรณ์ที่สุดระบบหนึ่งของโลก

March 31, 2025

Crop Circle: ความงามจากฟากฟ้า หรือสัญญาณจากมิติอื่น?

ในทุกฤดูร้อน ทุ่งข้าวในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบตอนใต้ของอังกฤษ กลับกลายเป็นผืนผ้าใบที่เต็มไปด้วยลวดลายเรขาคณิตที่สวยงาม ซับซ้อน และลึกลับ ลวดลายเหล่านี้ซึ่งปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิญญาณ และผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจ แต่คำถามสำคัญคือ: ใครเป็นผู้สร้าง? พวกเขาต้องการสื่อสารอะไรกับเรา?

ความงามจากฟากฟ้า หรือสัญญาณจากมิติอื่น?

หลายคนอาจมองว่า Crop Circles คือผลงานของมนุษย์ที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุกหรือเรียกร้องความสนใจ แต่หากพิจารณาในรายละเอียดลึก ๆ จะพบว่านี่ไม่ใช่แค่ “ลายบนทุ่งข้าว” ธรรมดา ๆ
  • บางลายปรากฏขึ้นภายในไม่กี่นาทีโดยไม่มีร่องรอยการเดินหรือยานพาหนะ
  • พืชที่ถูกกดราบลงนั้นไม่หักหรือเสียหาย แต่เหมือนถูกโค้งงอด้วยความร้อนหรือพลังงานบางอย่าง
  • มีร่องรอยทางแม่เหล็กไฟฟ้าและผลกระทบทางชีวภาพกับพืช เมล็ด และแม้แต่ผู้เข้าชม
ยิ่งลวดลายมีความซับซ้อนทางเรขาคณิตมากเท่าไหร่ ยิ่งดูเหมือนว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่มนุษย์ธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตจากอีกมิติหนึ่ง หรือเป็นพลังงานที่มีจิตสำนึกบางอย่าง ซึ่งพยายามจะสื่อสารกับมนุษย์ในระดับที่ลึกซึ้ง พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และพลังงานโลก Crop Circles ส่วนใหญ่ในอังกฤษเกิดในพื้นที่ที่มีโบราณสถาน เช่น Stonehenge, Avebury หรือ Silbury Hill ซึ่งตั้งอยู่บนแนวเลย์ไลน์ (Ley Lines) และแหล่งน้ำใต้ดิน (Aquifers) ที่มีพลังงานแม่เหล็กสูง นักวิจัยบางคนเชื่อว่า มนุษย์โบราณรับรู้พลังงานเหล่านี้ได้ผ่านสัญชาตญาณ และเลือกสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อสอดประสานกับพลังงานของโลก ในทำนองเดียวกัน ลวดลาย Crop Circle ก็อาจเป็นการตอบสนองต่อสนามพลังงานเหล่านี้จากผู้ที่อยู่ “อีกมิติหนึ่ง” ซึ่งอาจไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตจากต่างดาว แต่รวมถึงจิตวิญญาณระดับสูง หรืออารยธรรมในระดับที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แนวคิดเรื่อง “โลกมีจุดพลังงาน” ไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อ แต่ยังได้รับการยืนยันในระดับวิทยาศาสตร์พลังงานเชิงควอนตัม และมีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างสนามแม่เหล็กของโลกกับระบบพลังงานในร่างกายมนุษย์ เช่นจักระ ลูกกลมแห่งแสง (Balls of Light) และคำใบ้จากฟากฟ้า มีพยานจำนวนมากจากทั่วโลกที่รายงานว่าเห็นลูกกลมของแสงเรือง ๆ (Orbs) ปรากฏลอยอยู่เหนือทุ่งนา ก่อนหรือหลังการเกิดขึ้นของ Crop Circles ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นการจัดฉาก แสงเหล่านี้บางครั้งปรากฏในช่วงเวลาสั้น ๆ บางครั้งส่องแสงเป็นเส้นลำ เหมือนหลอดพลังงานขนาดใหญ่ตกลงจากฟากฟ้า ทำให้ทุ่งนาสว่างจ้าเหมือนกลางวัน มีรายงานว่าพลังงานในบริเวณนั้นทำให้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เสียหายชั่วคราว โทรศัพท์ กล้องถ่ายรูป หรือแม้กระทั่งเข็มทิศทำงานผิดปกติ บางคนถึงกับรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน หรือเกิดประสบการณ์เหนือธรรมชาติ เช่น ความรู้สึกสงบลึก หรือจิตเปิดรับข้อมูลบางอย่างจากเบื้องบน ความหมายที่ซ่อนอยู่ในเรขาคณิตศักดิ์สิทธิ์ ลวดลาย Crop Circle บางลายถ่ายทอดหลักการของเรขาคณิตโบราณ เช่น “การสร้างสี่เหลี่ยมจากวงกลม” (Squaring the Circle), สัดส่วนทองคำ (Golden Ratio), หรือแม้กระทั่ง สัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณในระดับสากล เช่น เมตาตรอนคิวบ์, ดอกไม้แห่งชีวิต, ดวงตาแห่งพระเจ้า ฯลฯ นักออกแบบหลายคนพบว่าลวดลายเหล่านี้มีความงามที่เกือบ “ไร้ที่ติ” ทั้งในเชิงคณิตศาสตร์และศิลปะ แต่ยิ่งไปกว่านั้น… มันยังมีความรู้สึกบางอย่างที่สื่อสารกับ “ภายในของเรา” ได้อย่างลึกซึ้ง — บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาโดยไม่มีเหตุผลเมื่อได้เดินเข้าไปกลางลายเหล่านั้น Crop Circle ไม่ใช่เพียงการแสดงออกของพลังที่มองไม่เห็น แต่เป็น “ภาษา” ที่กำลังพยายามปลุกเราให้ตื่นจากโลกแห่งเหตุผล และหันกลับมาใช้หัวใจเป็นผู้รับสาร พลังงานเปลี่ยนแปลงชีวิต บางครั้งการเดินเข้าไปในวงกลมพืชเหล่านี้จะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสงบ พลังงานบางอย่าง หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงของสภาพจิตใจอย่างฉับพลัน
  • มีรายงานว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น กล้องถ่ายรูป หรือโทรศัพท์มือถือ มักมีปัญหาเมื่อเข้าไปในวงกลม
  • การศึกษาพบว่าน้ำที่อยู่ในวงกลมมีคุณสมบัติเปลี่ยนแปลงจากน้ำทั่วไป
  • พืชบางชนิดมีการเจริญเติบโตเร็วขึ้น หรือมีระดับโปรตีนสูงกว่าปกติอย่างชัดเจน
  • บางคนที่มีอาการเจ็บป่วยเมื่อเข้าไปในลวดลายบางลาย กลับรู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด
นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถวัดผลได้ด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ดั้งเดิม แต่สามารถรู้สึกได้ผ่านหัวใจ และประสบการณ์ตรง สื่อสารหรือทดสอบ? คำถามที่ไม่มีคำตอบเดียว Crop Circles ไม่ได้มาพร้อมกับคำอธิบาย แต่มาพร้อมกับคำถาม: "คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นสิ่งนี้? คุณจะตีความมันอย่างไร? คุณจะเชื่อสิ่งที่คุณเห็นไหม?" บางคนเชื่อว่านี่คือการเตรียมมนุษย์ให้เปิดรับการสื่อสารจากอารยธรรมอื่น บางคนเชื่อว่านี่คือเครื่องมือกระตุ้นจิตวิญญาณของมนุษย์ให้ “กลับมาเชื่อมต่อ” กับจักรวาลอีกครั้ง นักวิจัยด้านพฤติกรรมบางกลุ่มเชื่อว่า นี่คือการศึกษามนุษย์จากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา ซึ่งไม่ได้เข้ามาแทรกแซงโดยตรง แต่ใช้การกระตุ้นผ่านภาพเรขาคณิต ความงาม และพลังงาน เพื่อให้เราคิดเอง เรียนรู้เอง — เหมือนผู้ใหญ่สอนเด็ก ด้วยการให้ประสบการณ์แทนคำสั่ง เรากำลังอยู่ในการเปลี่ยนผ่านระดับมิติ กระแสเรื่อง “การเปลี่ยนผ่านของโลก” หรือ dimensional shift กลายเป็นหัวข้อสำคัญในวงการจิตวิญญาณ และ Crop Circle เองก็อาจเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์นี้ บางคนเชื่อว่า จักรวาลกำลังค่อย ๆ เปิดประตูให้เรารับรู้ความจริงในระดับที่ลึกกว่า 5 มิติ หรือเชื่อมโยงกับพหุจักรวาล (Multiverse) ซึ่งการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณจะเป็นกุญแจสำคัญ Crop Circles อาจไม่ใช่แค่ “ศิลปะลี้ลับบนผืนดิน” แต่มันอาจเป็น บทเรียนในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ บทส่งท้าย: เสียงเงียบที่ก้องอยู่ในใจ ในยุคที่ข้อมูลหลั่งไหลท่วมท้น Crop Circles กลับไม่ส่งเสียง ไม่อธิบายตัวเอง… พวกมันเพียงปรากฏ แล้วหายไป เหลือไว้เพียงคำถามที่รอการค้นพบ บางที… คำตอบอาจไม่ได้อยู่ “ภายนอก” แต่รอเราอยู่ “ภายใน” เสมอ เพราะจักรวาล… ไม่ได้พูดด้วยคำ แต่พูดด้วยความรู้สึก ความถี่ และความหมายที่อยู่เหนือภาษา
Dakini: ร่างสตรีแห่งการตรัสรู้
August 3, 2024

Dakini: ร่างสตรีแห่งการตรัสรู้

ดาคินีคืออะไร?

ดาคินีคืออะไร?

'Dakini' ในภาษาสันสกฤตและ 'Khandro/ Khandroma' ในภาษาทิเบต  ถือเป็นการปรากฎตัวของ   the feminine principle ที่เป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดในพุทธศาสนาในทิเบต      คำเหล่านี้แปลว่า    'ผู้อาศัยบนท้องฟ้า' หรือ 'นักเต้นบนท้องฟ้า'   พวกเขาเป็นตัวแทนของทั้งมนุษยชาติและความศักดิ์สิทธิ์ในร่างผู้หญิง    ดาคินี  กล่าวง่ายๆ คือ ร่างสตรีแห่งการตรัสรู้ ดาคินีเชื่อมโยงกับการเปิดเผยของ 'อนุตตราโยคะตันตระ (Anuttara Yoga Tantras)' หรือตันตระระดับสูง ซึ่งหมายถึงเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพลังงานในทุกรูปแบบ    ในที่นี้พลังงานของอารมณ์ที่เป็นพิษหรือเคลษะ (kleshas - สภาวะทางจิตที่ทำให้จิตใจขุ่นมัวและแสดงออกในการกระทำที่ไม่เหมาะสม) จะเปลี่ยนเป็นพลังงานอันสดใสของ enlightened consciousness หรือ gnosis (jnana - การรับรู้ที่บริสุทธิ์ที่เป็นอิสระจากภาระผูกพันทางความคิด)      ซึ่งก่อให้เกิดริกปะ (rigpa - การรับรู้ที่ไม่ใช่แบบคู่) ดาคินีถูกกล่าวถึงในตำนานพุทธศาสนา, ตันตระ, ฮินดู และตำนานอื่นๆ   ในศาสนาฮินดู  ดาคินีมีร่างเป็นเจ้าแม่กาลี  และได้รับการเคารพในฐานะเทพผู้กินเนื้อมนุษย์    ดาคินีถูกพรรณนาในรูปแบบต่างๆ มากมายในสูตรวัชรยานแห่งเพชรทั้งสาม หรือที่รู้จักในชื่อ the Vajrayana formulation of Three Jewels พวกเขาถูกมองว่าเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณประเภทหนึ่ง ดาคินีสามารถปรากฎออกมาได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับสถานการณ์    เมื่อเหมาะสม เธอจะดุร้ายและรุนแรง หรือสบายๆ และเอาใจใส่    เธออาจเป็นกูรูที่เป็นมนุษย์ หรือวัชระมาสเตอร์ที่แชร์คำสอนของวัชรยานกับผู้ติดตามของเธอ  และเข้าร่วมใน Samaya (ความผูกพันที่ใกล้ชิด) pacts กับพวกเขา The knowledge Dakini อาจเป็น yidam ซึ่งเป็นเทพผู้ทำสมาธิ; โยคะเทพหญิงเช่นวัชรโยกีนี (Vajrayogini) เป็นเรื่องปกติในพุทธศาสนาในทิเบต  หรืออาจเป็นผู้พิทักษ์; the wisdom Dakinis      มีอำนาจเฉพาะ  และมีหน้าที่ปกป้องความสมบูรณ์ของคำสอนด้วยวาจา  

ความเป็นมาของพระพุทธเจ้าดาคินี

การอุทิศตนต่อ Dakini เริ่มขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 10 ถึง 12 ในอินเดีย    วัชรโยคินีปรากฏเป็น yab-yum (พ่อ-แม่) partner ของเขาในจักระสังวรอาสนะ (the Chakrasamvara sadhana)  จากจุดนั้นได้พัฒนาเป็นการฝึกตันตระอนุตตระโยคะ (anuttarayoga tantra) แบบสแตนด์อโลน   Dakinis ปรากฏตัวครั้งแรกในศิลปะและวรรณกรรมฮินดูในช่วงเวลาเดียวกับวิญญาณที่ดุร้ายและมุ่งร้าย    ดาคินีเป็นเพียง archetypes ที่ซับซ้อนอย่างลึกซึ้งในการปลดปล่อยอำนาจภายในพุทธศาสนาตันตระ ประเพณีดาคินีถูกนำจากอินเดียไปยังทิเบต  พร้อมด้วยตำราพุทธศาสนาสันสกฤตหลายฉบับที่แปลเป็นภาษาทิเบต ด้วยเหตุนี้ พุทธศาสนาในทิเบตจึงเป็นศาสนาที่ดาคินีมีความเกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้นที่สุด ตามธรรมเนียมเล่าว่า   ดาคินีมอบหมวกสีดำเป็นของขวัญเมื่อ รังจุง ดอร์เจ (1284-1339) กรรมาปะองค์ที่ 3  มีอายุเพียง 3 ขวบ    มงกุฏสีดำถูกใช้เป็นโลโก้ของเชื้อสายทิเบตยุคแรกสุดในการฝึกฝนการกลับชาติมาเกิด    นอกจากนี้  Dakini ยังพบเห็นได้ในพุทธศาสนานิกาย Shingon ของญี่ปุ่นซึ่งมีสุนัขจิ้งจอกอยู่ด้วย    สุนัขจิ้งจอกสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ผู้หญิงได้ และว่ากันว่ามีความสามารถด้านเวทมนตร์ต่างๆ ในตำนานของญี่ปุ่น

         ลามะจำนวนมากกล่าวว่า ผู้หญิงเป็นผู้ฝึกปฏิบัติที่เหนือกว่า  เนื่องจากพวกเขาสามารถดำดิ่งสู่การทำสมาธิได้เร็วกว่าผู้ชายมาก  เนื่องจากผู้ชายหลายคนกลัวที่จะสูญเสียสติปัญญาโดยเฉพาะพระภิกษุที่ศึกษามาเป็นเวลานาน    การปล่อยสิ่งนั้นไปอย่างกะทันหัน  และการเปลือยเปล่าในประสบการณ์การทำสมาธิ เป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับพวกเขา  ในขณะที่ผู้หญิงดูเหมือนจะสามารถจัดการมันได้ตามธรรมชาติ    สำหรับฉัน คุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิง (ซึ่งแน่นอนว่าผู้ชายหลายคนก็มีเช่นกัน) ประการแรกคือความเฉียบคม, ความชัดเจน" เทนซิน ปาลโม ผู้ให้คำมั่นว่าจะบรรลุการรู้แจ้งในร่างผู้หญิง กล่าว  "มันตัดผ่าน -โดยเฉพาะอย่างยิ่งขบวนการสร้างกระดูกทางปัญญา มัน - - ตรงประเด็น    สำหรับฉัน หลักการของดาคินีหมายถึงพลังแห่งปรีชาญาณ    ผู้หญิงเข้าใจได้ในพริบตา  พวกเขาไม่สนใจการอภิปรายทางสติปัญญา ซึ่งปกติแล้วพวกเขาพบว่ามันแห้งแล้งและเย็นชาโดยแทบไม่น่าดึงดูดใจเลย"

 -Western Num Jetsunma Tenzin Palmo

การจำแนกประเภทของดาคินี

ดาคินีสามารถตรัสรู้หรือไม่ก็ได้    ดาคินี "ทางโลก" คือผู้ที่ยังไม่บรรลุการตรัสรู้  ดาคินีทางโลกสามารถปรากฏเป็นคนเจ้าเล่ห์ได้เนื่องจากเธอยังคงถูกมัดไว้ในวงล้อแห่งสังสารวัฏ    โดยส่วนใหญ่ เมื่อเราพูดถึงดาคินี เราจะหมายถึงดาคินีที่ฉลาดหรือผู้รู้แจ้ง วัชรยานดาคินี (Vajrayana Dakinis) สามารถเป็นที่รู้จักได้หลายวิธีและทำหน้าที่ได้หลากหลาย แม้ว่าพวกเขาจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักก็ตาม
  • The Secret Class (Prajanamaramita)
ดาคินีที่แสดงถึงสภาพจิตใจที่ละเอียดอ่อนที่สุด ซึ่งมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งในโยคะตันตระที่ยิ่งใหญ่ที่สุด    พวกเขาดำรงอยู่ในระดับที่ไม่มีตัวตน (ethereal) ที่สุดในฐานะผู้พิทักษ์สภาวะรู้แจ้ง (the enlightened state)
  • The Inner Class (Mandala)
The Inner class หมายถึง the yidam หรือเทพผู้ทำสมาธิ ซึ่งเป็นตัวแทนของธรรมชาติพื้นฐานที่สุดของผู้ฝึกปฏิบัติ    พวกเขาคือพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้โดยสมบูรณ์ ที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติตระหนักถึงพุทธภาวะของตน
  • The Outer Class (Dakini ที่มีรูปแบบทางกายภาพ)
เมื่อความเป็น 2 ขั้ว ระหว่างตนเองและผู้อื่นสลายไป  ดาคินีภายนอกก็ปรากฏเป็นร่างกาย ซึ่งอาจเป็นร่างกายของผู้ปฏิบัติ หลังจากที่ตระหนักว่าเขาคือเธอ    พวกเขาสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกปฏิบัติ Stage Tantra แล้วเท่านั้น    ตัวอย่างเช่น โยคะทั้งหกของนโรปา (the Six Yogas of Naropa) ทำงานร่วมกับลมอันละเอียดอ่อนของร่างกายอันละเอียดอ่อนในแง่ที่ว่า     ร่างกายของผู้ฝึกเข้ากันได้กับจิตใจที่รู้แจ้ง
  • The Outer-Outer Class (ร่างมนุษย์)

สิ่งนี้แสดงถึงดาคินีในมนุษย์  เพราะอาจเป็นครู, ผู้สอน หรือโยคีนี, กรรมมุทรา (a karma mudra) หรือมเหสีของโยคีหรือมหาสิทธะ (mahasiddha)

 

ดาคินีสามารถจำแนกได้ตามไตรกาย (พระพุทธเจ้า 3 ร่าง)

  • ธรรมกายดาคินี (The Dharmakaya Dakini)
สมันตภัดรี (Samantabhadri) เป็นตัวแทนของ the Dharmadhatu (the consciousness ของจิตใจที่บริสุทธิ์)  ซึ่งเป็นที่ซึ่งปรากฏการณ์ทั้งปวงปรากฏ
  • สัมโภคกายดากีนี (The Sambhogakaya Dakinis)
Yidams ใช้เป็นเทพผู้ทำสมาธิในการฝึกตันตระ
  • นิรมานกายดาคินี (The Nirmanakaya Dakinis)
มนุษย์ผู้หญิงที่เกิดมาพร้อมกับศักยภาพอันโดดเด่น ; realized yogini, ผู้เป็นภริยาของกูรู หรือแม้แต่สตรีทั่วๆ ไปก็อาจจัดอยู่ในตระกูลพระพุทธเจ้าทั้ง 5  

สัญลักษณ์ภาพ (Iconography) ของ Dakini

ในการแสดงภาพสัญลักษณ์ โดยทั่วไปดาคินีจะแสดงเป็นหญิงสาวเปลือยเปล่าเต้นรำ ถือมีดโค้ง (Kartika) ในมือข้างหนึ่ง และถ้วยกะโหลกศีรษะ (kapala) ที่เต็มไปด้วยเลือดหรือน้ำอมฤตแห่งชีวิตในอีกมือหนึ่ง    เธออาจจะถือไม้ตรีศูลไว้ที่ไหล่และสวมพวงมาลัยที่ทำจากกะโหลกมนุษย์  เธอมักจะมีผมสยายห้อยลงมาด้านหลังและมีสีหน้าโกรธเคือง    เธอเต้นรำบนซากศพเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะสูงสุดของเธอเหนืออัตตาและอวิชชา สัญลักษณ์ภาพ (Iconography) ของ Dakini

ดาคินีในศาสนาฮินดู

แม้ว่า Dakinis จะเป็นผู้พิทักษ์ความลึกลับที่ลึกซึ้งของ the self ใน Hindu tantra,  ซึ่งมีการเปิดเผยความลับของการเปลี่ยนแปลงภายใน แต่ชื่อ "Dakini" มักเกี่ยวข้องกับความหมายเชิงลบในศาสนาฮินดู มีความแตกต่างระหว่างคำต่างๆ เช่น Shakti, Yogini, Shakini และ Dakini ซึ่งมักสับสนในสำนวนทั่วไป และแนวคิดเหล่านี้ใช้สลับกันได้    ผู้นับถือศรัทธาที่ปรารถนาสิทธิ (siddhi) หรือความสามารถ เช่น โยคี  มักเผชิญกับอุปสรรคจากดาคินี, Shakini, และ entities อื่นๆ ของผู้หญิงที่ฉุนเฉียวหรือกึ่งโมโห    พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้หรือถูกยึดครองเพื่อให้ได้สิทธิและกลายเป็นมหาสิทธะ (Mahasiddha) หรือโยคีที่แท้จริงผู้มีความเชี่ยวชาญเหนือองค์ประกอบของธรรมชาติ ในคัมภีร์ฮินดู กล่าวกันว่า mantras และ  strotas หลายบท  ใช้เพื่อปัดเป่าหรือปกป้องจากดาคินี, ชากีนี และ entities อื่นๆ   หนุมานเป็นเทพเจ้าหลักที่ดูแลดาคินีและ beings อื่นๆ บทสวด Vichitra Veer Hanuman Stroram  แสดงรายชื่อ entities ชั่วร้าย ที่อยู่ภายใต้อำนาจของหนุมาน รวมถึง Dakini และสวดเพื่อเป็นเกียรติแก่ 'Vichitra Veer Hanuman' ซึ่งเป็นอวตารที่ดุร้ายของหนุมาน มีมนต์หนุมานอื่น ๆอีก สำหรับควบคุม Dakini  แต่ 'Saptamukhi Hanuman Kawacha' และ 'Panchamukhi Hanuman Kawacham' เป็น 2 บทที่มีชื่อเสียงที่สุด    ชาวฮินดูยังท่อง Devi Kavacham ซึ่งเป็นเพลงเพื่อเป็นเกียรติแก่ Durga (พระแม่ทุรคา) และ 'Sri Sudarshana Kawacha' ซึ่งเป็นสันสกฤต shloka หรือ kawacha ที่ตั้งชื่อตามอาวุธของพระวิษณุ 'Sudarshana Chakra' และสวดเพื่อสรรเสริญพระองค์  

ดาคินีในพระพุทธศาสนาแบบญี่ปุ่น

ดาคินีในพระพุทธศาสนาแบบญี่ปุ่น ว่ากันว่าการนำ tantric Buddhism มาใช้ของ Kukai แก่โรงเรียน Shingon ในช่วงต้นศตวรรษที่ 9  ได้นำภาพ Dakini มาสู่ญี่ปุ่น    รูปร่างคล้ายกับดาคินีที่พบในรูปสัญลักษณ์ของศาสนาฮินดู มากกว่ารูปร่างที่พบในตันตระของพุทธศาสนาในทิเบต ภาพดาคินี ถูกผสมผสานกับผู้หญิงครึ่งเปลือยและสุนัขจิ้งจอกในสมัยเฮอัน (the Heian era) ทำให้เกิดชื่อเป็น Dakini-ten (ดาคินีเทพ), Shinkoō-bosatsu (Central Fox Queen-โพธิสัตว์) และ Kiko-tennō (ราชินี)   ในระหว่างพิธีกรรมขึ้นครองราชย์ จักรพรรดิแห่งยุคกลางของญี่ปุ่นจะท่องต่อหน้ารูปของ the fox Dakini-ten.   โชกุนและจักรพรรดิจะแสดงความเคารพต่อดาคินีเท็นทุกครั้งที่พบเห็น   ในเวลานั้น เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า การหยุดการถวายเกียรติแด่ดาคินีเท็นจะส่งผลให้ระบอบการปกครองล่มสลาย    แม้ว่าดาคินีเท็นจะถือเป็นเทพเจ้าทางพุทธศาสนาที่แข็งแกร่ง แต่การพรรณนาถึงสิ่งนี้ในญี่ปุ่นในยุคกลางและปัจจุบันนั้น  มีพื้นฐานมาจากตำนานคิตสึเนะ (kitsune) ในท้องถิ่น   ภาพสุนัขจิ้งจอกถูกนำมาใช้แทน the Indian jackal  ตามความคิดพื้นบ้านร่วมสมัยที่มักบันทึกไว้ในสิ่งพิมพ์ของญี่ปุ่นเกี่ยวกับศาสนา    อย่างไรก็ตาม , the jackal (สัตว์กินเนื้อในวงศ์สุนัข (Canidae) จำพวกหนึ่ง)  ไม่ได้เกี่ยวโยงกับ Dakini เลย   พิธีกรรม Dakini พัฒนาเป็นคาถามากมายที่เรียกว่า Dakini-ten, Izuna และ Akiba ในช่วงต้นสมัยใหม่    หากมีคนในชุมชนคิดว่าพวกเขาถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย พวกเขาอาจไปหายามาบูชิ (yamabushi) ผู้ทุจริตที่ใช้มนต์ดำ  และขอให้เขาจับคิตสึเนะ        (a kitsune-ภูตจิ้งจอก) มาขัง  และปล่อยให้มันไปอาศัยอยู่กับบุคคลที่สาม   The Dakini  เน้นย้ำถึงความสำคัญและปฏิสัมพันธ์ระหว่าง prajna และ upaya. “ปัญญา (Wisdom)” และ “วิธีชำนาญ (skillful methods)”   สิ่งเหล่านี้จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อนำมารวมกันเพราะว่าสติปัญญาหรือความเข้าใจอันเป็นรูปธรรมจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมที่สุด    ด้วยวิธีนี้ ดาคินีจึงเทียบได้กับ Shakti ในศาสนาฮินดูและโซเฟียใน Gnostic Christianity.   บางคนอ้างว่าการปฏิบัติที่เปิด Muladhara (จักระราก) ซึ่งเป็นฐานของ subtle body ของคุณ สามารถใช้เพื่อเข้าถึงพลังของ Dakini ได้    ท่าหฐโยคะ เช่น Pavanamuktanasana และ Malasana เป็นตัวอย่างหนึ่งของการปฏิบัติดังกล่าว
July 27, 2024

ปิณฑุ (Bindu)

ปิณฑุ (Bindu) แปลว่า point หรือ dot   คำนี้มาจากรากศัพท์ว่า 'bhid' หรือ 'bhind' ซึ่งแปลว่าระเบิด,ทะลุทะลวง    การเจาะ, หัก หรือทะลุผ่านปิณฑุ (ปิณฑุเวทนา - bindu vedhana) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการฝึก    แต่ ณ จุดนี้ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการฝึกฝนไม่ได้ เนื่องจากมีเพียงพระคุณ (grace) เท่านั้นที่เกี่ยวข้อง    Bindu  คือจุดเปลี่ยนจากความเป็นคู่ (duality)  ไปสู่ Pure  Consciousness.     ปิณฑุ เป็นประตูที่ beyond หรือ out of the mind,  เพราะแนวคิดหรือปรากฏการณ์ของปิณฑุคือ จุดที่เวลา, พื้นที่, ความเป็นเหตุเป็นผล และแนวความคิดอื่นๆ ทั้งหมด manifested.   Bindu  คือจุดที่หลายหลากดูเหมือนจะขยายตัว ดังนั้น การหาทางกลับไปสู่ Bindu  คือการหาทางกลับไปยังขอบของอวกาศ, เวลา และ manifestation ที่ชัดเจน ซึ่งไม่ใช่ขอบ  แต่เป็นจุด    แนวคิดของ Bindu  พบได้ใน mystical writing หลายเรื่อง เช่น โยคี , mystics, tantrics, และปราชญ์ผู้มีประสบการณ์ Pure Consciousness,  พูดถึงการเผชิญจุดนี้ เช่น สัญลักษณ์เป็นเมล็ดมัสตาร์ด เพราะไม่มีทางออกอื่น!      ปิณฑุเป็นศูนย์กลางของ the Sri Yantra  และจุดในสัญลักษณ์ของโอม (AUM) ปินฑุ หมายถึง the cosmic seed  ที่จักรวาลเกิดขึ้น เป็นตัวแทนของ the unity ของการดำรงอยู่ทั้งหมด  

Bindu ในปรัชญาโยคะ

Unity and Wholeness

Bindu มีความเกี่ยวข้องกับแนวคิดพื้นฐานของ unity ในปรัชญาโยคะ  แสดงถึง the underlying oneness ของการดำรงอยู่ทั้งหมด  เป็นสัญลักษณ์ของ the union of individual consciousness (Shiva) and universal energy (Shakti). Bindu ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเชื่อมโยงกันของทุกแง่มุมของการดำรงอยู่  โดยเน้นถึง the intrinsic wholeness and harmony ของจักรวาล    The bindi dot, ที่เขียนบนหน้าผากหมายถึง Bindu  

Manifestation and Creation

Bindu ถูกมองว่าเป็น the cosmic seed ที่สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น  มันเป็นสัญลักษณ์ของ the unmanifest potential  ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการเป็นรูปเป็นร่างของจักรวาล   Bindu  เป็นตัวแทนของจุดกำเนิด ที่ซึ่งความเป็นไปได้อันไม่มีที่สิ้นสุดควบแน่นเป็น a singular form. ในแง่นี้ Bindu รวบรวมกระบวนการของ manifestation อยู่ในตัวมัน, โดยเน้นถึงพลังสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในตัวแต่ละคน Shiva/Shakti

Bindu ใน Yogic Practice

Meditation และ Concentration

ใน yogic practice, bindu มักถูกใช้เป็นจุดเน้นในระหว่างการทำสมาธิ    ผู้ฝึกมุ่งเป้าไปที่การสงบจิตใจ, ก้าวข้ามความคิดธรรมดาๆ และเข้าถึง states of consciousness ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยการมุ่งความสนใจไปที่ a visualized or imagined bindu   การฝึก bindu meditation  ช่วยปลูกฝังการรับรู้, ส่งเสริมความสงบภายใน และส่งเสริมการรวมตัวของร่างกาย, จิตใจ และจิตวิญญาณ   ศูนย์พลังงานและจักระ Bindu ยังเกี่ยวข้องกับศูนย์พลังงานหรือจักระภายในร่างกาย    เชื่อกันว่าจุดพลังงานอันละเอียดอ่อนเหล่านี้ควบคุมการไหลของปราณา (พลังชีวิต) และมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ ด้วยการมุ่งความสนใจไปที่ bindu centers เหล่านี้ผ่านอาสนะ (ท่าทาง), ปราณายามะ (การฝึกหายใจ) และ visualization,  ผู้ฝึกพยายามสร้างสมดุลและแอคติเวต vital energy  เพื่อปลูกฝังการเติบโตทางจิตวิญญาณ จักระ

ปินฑุในอุปนิษัท

Yogachudamani Upanishad ให้ insights ที่มีคุณค่า เกี่ยวกับแนวคิดของ Bindu ในบริบทของโยคะ โดยนำเสนอ Bindu ว่าเป็น duality, ประกอบด้วย a white bindu  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ (ศุกละ-shukla) และ a red bindu  แสดงถึงความเชี่ยวชาญ (มหาราช-maharaj)   ตามตำรานี้, the white bindu อยู่ใน the bindu visarga  ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับจุดแห่งการสร้างสรรค์และอยู่ที่ด้านหลังศีรษะ White bindu นี้ มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพระศิวะ, the masculine principle, และดวงจันทร์ ดวงจันทร์ หมายถึง ความสงบ, tranquility และ the receptive aspect ของ consciousness    ดังนั้น  the white bindu  จึงเชื่อมโยงกับคุณสมบัติของความบริสุทธิ์, ความนิ่ง และ receptivity. ในทางกลับกัน, the red bindu  ว่ากันว่าอยู่ในจักระมูลธารา (the muladhara chakra) ซึ่งเป็นศูนย์พลังงานซึ่งอยู่ที่ฐานของกระดูกสันหลัง   Red bindu นี้ มีความเกี่ยวข้องกับศักติ (Shakti), the feminine principle, และดวงอาทิตย์            ดวงอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ของพลังงาน, ความมีชีวิตชีวา และ the dynamic aspect ของ consciousness. ดังนั้น  the red bindu  จึงเชื่อมโยงกับคุณสมบัติของความชำนาญ, พลังงาน และ dynamism .   เพื่อทำความเข้าใจ union นี้  หรือ the red and white bindu,  เราสามารถเปรียบเทียบกับแนวคิดเรื่อง หยินและหยางได้ หยินและหยาง

Bindu ในหฐโยคะ (Hatha Yoga) และตันตระ (Tantra)

มีเทคนิคหัตถโยคะหลายเทคนิค ที่เกี่ยวข้องกับ bindu   โดยมันถูกจัดหมวดหมู่เป็นจักระ    ใน tantra, ตำแหน่งของจักระปิณฑุ  อธิบายไว้ว่า เหนือจักระตาที่สาม (อัจนะ) และใต้จักระมงกุฎ (สหัสราระ)   จักระปิณฑุ แสดงเป็นดอกบัวที่มีกลีบดอก 23 กลีบ และเป็นสัญลักษณ์ของดวงจันทร์   หฐโยคะประทีปิกา (The Hatha Yoga Pradipika)  อธิบายว่า bindu เป็นสารที่สะสมอยู่ในศีรษะ      หากไม่มีการปฏิบัติเพื่อรักษามันไว้  the bindu จะหยดลงมาในบริเวณที่ถูกเผาด้วยไฟย่อยอาหารและนำไปสู่การสูญเสียพลังชีวิต, ความเสื่อมถอยทางร่างกาย และความชรา   หฐโยคีจะฝึกเทคนิคโยคะเพื่อหลีกเลี่ยงหรือย้อนกลับ 'หยด' ของ bindu  โดยควบคุมการไหลของ bindu ให้ขึ้นไปบนกระดูกสันหลังหรือสุชุมนานาดี ซึ่งจะถูกเก็บรักษาไว้ในศีรษะ    เชื่อกันว่าจะช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาว The Hatha Yoga